ใยแก้วกันความร้อน

ใยแก้วกันความร้อน : นวัตกรรมฉนวนกันความร้อนยอดนิยมสำหรับตึกอาคาร

Fiberglass

ในยุคที่ราคาพลังงานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การอนุรักษ์พลังงานจึงเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญ นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลังงานแล้ว การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารก็เป็นอีกมาตรการหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย หนึ่งในวัสดุที่ถูกกล่าวถึงบ่อยที่สุด คือ ใยแก้วกันความร้อน (Fiberglass Insulation) ซึ่งมีคุณสมบัติโดดเด่นในการต้านทานการถ่ายเทความร้อน ช่วยรักษาอุณหภูมิภายในอาคารให้คงที่ ลดการใช้พลังงานในการปรับอากาศ และเพิ่มความสบายให้กับผู้อยู่อาศัย

แต่ก่อนจะตัดสินใจเลือกใช้ใยแก้ว สำคัญคือต้องทำการบ้านหาข้อมูลให้ดี ทั้งเรื่องชนิดของฉนวนกันความร้อน ประโยชน์ ข้อดี ข้อเสียที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการติดตั้ง ราคาค่าใช้จ่าย ในบทความนี้ เรา ChillFlow Energy ได้รวบรวมทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ ใยแก้วกันความร้อน มาให้แล้วค่ะ

 

เลือกอ่านหัวข้อ

ใยแก้วกันความร้อน คืออะไร

มารู้จักกับใยแก้วกันความร้อนให้มากขึ้น

ใยแก้วกันความร้อน หรือฉนวนใยแก้ว เป็นวัสดุฉนวนความร้อนที่ผลิตจากเส้นใยแก้วขนาดเล็กที่ถูกสร้างขึ้นจากการหลอมเหลวแก้วและแร่ธาตุต่างๆ ที่อุณหภูมิสูงกว่า 1,300°C จากนั้นจะถูกดึงให้เป็นเส้นใยขนาดเล็กในลักษณะคล้ายปุยนุ่น มีทั้งชนิดที่เป็นม้วนยาว (Blanket) และเป็นแผ่น (Sheet) ทำให้เลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมของพื้นที่ นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศมานานกว่า 80 ปี และกำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในบ้านเราในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีคุณสมบัติการเป็นฉนวนที่ดีเยี่ยม ติดตั้งง่าย ปรับตัวเข้ากับพื้นที่ได้ดี ไม่เป็นอาหารของแมลง และที่สำคัญคือช่วยประหยัดค่าไฟจากเครื่องปรับอากาศได้อย่างเห็นได้ชัด

คุณสมบัติของ ใยแก้วกันความร้อน

คุณสมบัติและประโยชน์ของ ใยแก้วกันความร้อน

  1. การนำความร้อนมีค่าต่ำ (Low Thermal Conductivity) มีค่า k-value หรือค่าสัมประสิทธิ์การนำความร้อนอยู่ระหว่าง 0.032-0.040 W/mK ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับวัสดุก่อสร้างทั่วไป ทำให้สามารถต้านทานการถ่ายเทความร้อนผ่านผนังและหลังคาได้ดีเยี่ยม ช่วยลดความร้อนที่เข้ามาในอาคารในหน้าร้อน และเก็บความร้อนไว้ภายในอาคารในหน้าหนาว ส่งผลให้สามารถรักษาอุณหภูมิห้องให้อยู่ในระดับที่สบาย ลดภาระการทำงานของเครื่องปรับอากาศ และประหยัดพลังงานได้มหาศาล
  2. มีน้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย มีความหนาแน่นต่ำ ทำให้มีน้ำหนักเบา ขนย้ายและติดตั้งได้ง่ายกว่าฉนวนประเภทอื่นๆ สามารถใช้ได้ทั้งในการก่อสร้างอาคารใหม่และงานปรับปรุงฉนวนสำหรับอาคารเก่า เพียงแค่ติดตั้งให้แนบสนิทกับผนังหรือคร่าวหลังคา ก็สามารถสร้างชั้นฉนวนที่มีประสิทธิภาพได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์พิเศษ
  3. อายุการใช้งานยาวนาน มีความทนทานสูง ไม่ย่อยสลายหรือเสื่อมสภาพได้ง่าย ทนต่อความชื้นและเชื้อราได้ดี ไม่เป็นแหล่งอาหารของแมลงหรือสัตว์ฟันแทะ จึงสามารถคงสภาพการเป็นฉนวนได้ยาวนานตลอดอายุอาคาร โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือซ่อมแซมบ่อยๆ
  4. มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน การผลิตในปัจจุบันมีการพัฒนาสูตรการผลิตให้มีอนุภาคขนาดใหญ่ขึ้น ไม่แตกเป็นเส้นใยฝุ่นขนาดเล็กที่สามารถฟุ้งกระจายในอากาศและสูดดมเข้าไปได้ จึงไม่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจหรือผิวหนัง อีกทั้งยังไม่มีสารพิษหรือสารก่อมะเร็งเจือปน ทำให้ปลอดภัยทั้งต่อผู้ติดตั้งและผู้ใช้อาคาร
  5. ดูดซับเสียงรบกวนได้ดี นอกจากคุณสมบัติความเป็นฉนวนความร้อนแล้ว ยังสามารถเป็น ฉนวนกันเสียงได้ด้วย ช่วยดูดซับคลื่นเสียงที่เดินทางผ่านอากาศได้เป็นอย่างดี โดยมีค่าการดูดซับเสียง (Sound Absorption Coefficient) ที่ 0.7-0.9 ขึ้นอยู่กับความถี่ของเสียง ทำให้ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกอาคารได้มากถึง 50% ทำให้ภายในอาคารเงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนหรือทำงานที่ต้องการสมาธิ
  6. คุ้มค่าต่อการลงทุนในระยะยาว ด้วยคุณสมบัติการเป็นฉนวนที่ดีเยี่ยม ใยแก้วกันความร้อนสามารถลดค่าไฟจากการใช้เครื่องปรับอากาศได้สูงสุดถึง 40% ซึ่งหากคิดเป็นตัวเงินต่อปีจะสูงมากกว่าค่าใช้จ่ายในการติดตั้งฉนวนใยแก้วหลายเท่า ยิ่งในปัจจุบันที่ค่าไฟมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การลงทุนติดตั้งฉนวนใยแก้วจึงยิ่งให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า และมีระยะเวลาคืนทุนที่สั้นลงไปอีก
วิธีการเลือก ใยแก้วกันความร้อน ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

วิธีการเลือกใยแก้วกันความร้อน ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

ก่อนเลือกซื้อ ใยแก้วกันความร้อน ผู้ใช้ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ต่อไปนี้เพื่อให้ได้ฉนวนที่เหมาะสมกับสภาพอาคารและการใช้งาน

  1. ค่า R-Value ซึ่งเป็นค่าความต้านทานความร้อนของฉนวน ยิ่งค่า R-Value สูงก็ยิ่งป้องกันความร้อนได้ดี ควรเลือกค่า R-Value ให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ โดยทั่วไปภูมิภาคที่มีอากาศร้อนจัดแนะนำให้ใช้ค่า R-Value 30 ขึ้นไป ส่วนพื้นที่ที่มีอากาศเย็นแนะนำ R-Value 40 ขึ้นไป
  2. ความหนาและความหนาแน่น มีความหนาหลากหลายตั้งแต่ 25-100 mm ยิ่งหนายิ่งให้ค่าความต้านทานความร้อนที่สูงขึ้น แต่ก็ต้องพิจารณาพื้นที่ติดตั้งร่วมด้วยว่าสามารถติดตั้งความหนาเท่าไรได้ ส่วนความหนาแน่นมีให้เลือกตั้งแต่ 12-64 kg/m3 ยิ่งความหนาแน่นสูงฉนวนก็จะแข็งแรงทนทานขึ้น แต่ราคาก็สูงขึ้นตาม
  3. ชนิดของวัสดุปิดผิวใยแก้ว มีทั้งแบบปิดผิวด้วยอลูมิเนียมฟอยล์ ผ้ากลาสโค้ด กลาสทิชชู่  เพื่อกันฝุ่น กันความชื้น และเพิ่มความแข็งแรง ควรเลือกชนิดปิดผิวให้เหมาะกับการใช้งาน เช่น ฉนวนผนังภายในเลือกแบบห่อหุ้มด้วยผ้ากลาสโค้ด ฉนวนใต้หลังคาเลือกแบบปิดผิวด้วยอลูมิเนียมฟอยล์เพื่อกันความร้อนจากหลังคา
  4. ลักษณะการติดตั้ง ใยแก้วกันความร้อน มีทั้งแบบม้วน แผ่น  ให้เลือกตามความเหมาะสมของโครงสร้างอาคาร โดยแบบม้วนเหมาะกับการติดตั้งในช่องว่างระหว่างโครงผนังหรือฝ้าเพดาน และการติดตั้งสำหรับงานท่อลมปรับอากาศ ส่วนแบบแผ่นเหมาะกับผนังด้านนอกหรือใต้หลังคา รวมถึงสำหรับงานการดูดซับเสียง
  5. มาตรฐานและเครื่องหมายรับรองคุณภาพ ควรเลือกใยแก้วที่ผลิตตามมาตรฐานสากล เช่น FM Approvals,Green Label, LEED Member, BS 476, ASTM E84 ,EN13501-1, ที่รับประกันคุณภาพของวัตถุดิบ กระบวนการผลิต และผลการทดสอบ
ข้อแนะนำในการติดตั้ง ใยแก้วกันความร้อน

ข้อแนะนำในการติดตั้งใยแก้วกันความร้อน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

  1. วางแผนการติดตั้งให้ครอบคลุมทุกจุดที่มีการรั่วของความร้อนจากผนัง หลังคา หรือพื้น เพื่อให้สามารถกักเก็บความร้อนหรือความเย็นไว้ภายในอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ควรเว้นช่องว่างหรือละเลยบริเวณใดบริเวณหนึ่ง เพราะจะทำให้เกิดจุดอ่อนในการรั่วของความร้อนได้
  2. เลือกความหนาของใยแก้วให้เหมาะสมกับพื้นที่ โดยพิจารณาความกว้างของโครงผนังหรือฝ้าเพดาน ควรใช้ฉนวนที่มีความหนาเต็มช่อง เพื่อให้เกิดชั้นฉนวนที่หนาและต่อเนื่อง อย่าเลือกฉนวนบางเกินไปเพราะจะให้ค่าความต้านทานความร้อนที่ไม่เพียงพอ
  3. ตัดแต่งใยแก้วให้ได้ขนาดพอดีกับช่องที่ต้องการติดตั้ง โดยใช้คัตเตอร์คมๆ สำหรับใยแก้วชนิดม้วน หรือใช้เลื่อยฉลุสำหรับใยแก้วชนิดแผ่น หากใยแก้วหนากว่าช่องติดตั้งไม่ควรบีบอัดแน่นเกินไปเพราะจะทำให้ฉนวนยุบตัวและสูญเสียคุณสมบัติการเป็นฉนวน
  4. ติดตั้งใยแก้วให้แนบสนิทกับโครงสร้างอาคาร ป้องกันการเกิดช่องว่างระหว่างฉนวนกับผนังหรือหลังคา เพราะจะกลายเป็นจุดที่อากาศสามารถไหลเวียนได้ ทำให้เกิดการพาความร้อนเข้าออกอาคารได้ ควรใช้วัสดุยึดเกาะที่เหมาะสม เช่น สเปรย์กาวหรือเทปอลูมิเนียม
  5. หากต้องทำการต่อใยแก้วหลายแผ่นเข้าด้วยกัน ควรต่อแผ่นใหม่ให้ทับซ้อนกับแผ่นเก่าประมาณ 3-4 นิ้ว เพื่อให้เกิดชั้นฉนวนที่ต่อเนื่องสนิท ลดการรั่วไหลของอากาศและความชื้น
  6. ระวังอย่าให้ใยแก้วเปียกน้ำหรือสัมผัสความชื้นสูง เพราะจะดูดซับน้ำเข้าไปในเนื้อฉนวน ทำให้สูญเสียคุณสมบัติการต้านความร้อน และเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อราหรือแบคทีเรีย ควรเก็บใยแก้วไว้ในที่แห้งระหว่างการขนย้ายและติดตั้ง
  7. สวมอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล เช่น ถุงมือ แว่นตา และหน้ากากกันฝุ่น ขณะทำการติดตั้งใยแก้วกันความร้อน เพื่อป้องกันการระคายเคืองต่อผิวหนังและทางเดินหายใจจากเส้นใยแก้วขนาดเล็ก แม้ว่าใยแก้วสมัยใหม่จะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ก็ควรป้องกันไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย
ใยแก้วกันความร้อน เปรียบเทียบ

ทางเลือกอื่นๆ นอกจาก ใยแก้วกันความร้อน

แม้ว่าใยแก้วจะเป็นฉนวนกันความร้อนที่นิยมใช้มากที่สุด แต่ในบางกรณีที่อาจเกิดข้อจำกัดของการติดตั้ง เช่น พื้นที่คับแคบ หรือเป็นอาคารที่ต้องการวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ก็อาจพิจารณาเลือกใช้ฉนวนประเภทอื่นแทน เช่น

  • Cellulose Insulation ผลิตจากเยื่อกระดาษรีไซเคิล มีคุณสมบัติเป็นฉนวนกันความร้อนที่ดี ไม่ติดไฟ ไม่เป็นอาหารของแมลง ราคาถูกกว่าใยแก้ว แต่อาจมีการยุบตัวมากกว่า
  • Stone Wool ผลิตจากเส้นใยหินบะซอลต์ที่หลอมและปั่นเป็นเส้น ให้ค่าความต้านทานความร้อนสูง ทนไฟ ดูดซับเสียงดีเยี่ยม เหมาะกับงานอาคารที่ต้องการความปลอดภัยสูง แต่ราคาค่อนข้างสูง
  • Polyurethane Foam ฉนวนโฟม มีค่าความต้านทานความร้อนต่อความหนาสูงที่สุด ใช้พื้นที่การติดตั้งน้อย มีทั้งแบบขึ้นรูปและแบบฉีดโฟม อาจมีราคาสูง และบางสูตรอาจเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
  • Natural Fiber ฉนวนจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ป่าน ปอ หรือฝ้าย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายได้ ราคาย่อมเยา แต่ค่าความต้านทานความร้อนอาจด้อยกว่าใยแก้ว และอาจเป็นอาหารของแมลงได้
  • Black Insulation Rubber ฉนวนยางดำ เป็นวัสดุฉนวนที่ทำจาก ยางสังเคราะห์ประเภท EPDM หรือ NBR (Nitrile Butadiene Rubber) ผสมกับ PVC  ข้อเสียของฉนวนยางดำคือ ทนความร้อนได้จำกัด ติดไฟได้หากไม่มีสารหน่วงไฟ เสื่อมสภาพเมื่อโดน UV ราคาแพงกว่าฉนวนบางชนิด และอาจหดตัวหรือดูดซับสารเคมีบางประเภท.

สรุป

ใยแก้วกันความร้อน ถือเป็นวัสดุฉนวนยอดนิยมสำหรับอาคารที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและเพิ่มความสบายให้กับผู้อยู่อาศัย ด้วยคุณสมบัติเด่นในการต้านการถ่ายเทความร้อน การติดตั้งที่ง่ายและความคุ้มค่าในระยะยาว ทำให้ใยแก้วกลายเป็นตัวเลือกแรกๆ ของเจ้าของบ้านและผู้รับเหมาก่อสร้าง

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการติดตั้งใยแก้ว ต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ทั้งการเลือกชนิดและความหนาให้เหมาะสมกับสภาพอาคาร การติดตั้งอย่างถูกวิธีโดยไม่ให้เกิดช่องว่างหรือความชื้นเข้าไปทำลายเนื้อฉนวน และการปฏิบัติตามข้อควรระวังด้านความปลอดภัยระหว่างการติดตั้ง

ด้วยความโดดเด่นของใยแก้วกันความร้อนที่มีมานานกว่า 80 ปี ประกอบกับการวิจัยพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่องให้ดียิ่งขึ้น เชื่อว่าใยแก้วจะยังคงเป็นฉนวนกันความร้อนหลักที่ช่วยสร้างอาคารประหยัดพลังงานและอาคารเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต ตอบโจทย์ทั้งด้านเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต และความยั่งยืนได้อย่างครบถ้วน

Chill Flow Contact
Chill Flow Line
Chill Flow massage
Chill Flow telephone

หากคุณกำลังสนใจติดตั้ง ใยแก้วกันความร้อน เพื่ออาคาร บ้าน หรือโรงงานอุตสาหกรรม สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่ info@chill-flow.com เรายินดีให้คำปรึกษาและบริการด้วยฉนวนคุณภาพสูง พร้อมทีมช่างมืออาชีพ เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านการใช้พลังงานของคุณอย่างแน่นอน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *